ดราม่าชีวิตจริงแม่บ้านในญี่ปุ่น Part 1 : ฉันเคยหนีวีซ่าญี่ปุ่น โดย ตุ๊กตามามิ

ดราม่าชีวิตจริงแม่บ้านในญี่ปุ่น Part 1 : ฉันเคยหนีวีซ่าญี่ปุ่น โดย ตุ๊กตามามิ

ดราม่าชีวิตแม่บ้านในญี่ปุ่น Part 1 : ฉันเคยหนีวีซ่าญี่ปุ่น โดย ตุ๊กตามามิ

 ดิฉัน “ตุ๊กตามามิ” มาอยู่ญี่ปุ่นได้ 2 ปีครึ่ง แต่งงานกับสามีญี่ปุ่นได้ 1 ปีครึ่ง 

ตอนนี้เป็นแม่บ้านเต็มตัวอยู่จังหวัดชิบะ งานอดิเรกชอบทำอาหาร ออกกำลังกาย ดูหนัง วาดรูปทั่วๆไป 

เรื่องราวที่จะมาแชร์ในวันนี้เป็นเรื่องจริงของชีวิตฉันและเปิดเผยสู่สาธารณะเป็นครั้งแรก

         ดิฉันจะขอเล่าเรื่องตั้งแต่ต้น ความเป็นมาว่ามาญี่ปุ่นได้อย่างไร ย้อนไปตอนก่อนที่จะตัดสินใจมาญี่ปุ่นกับแฟนคนไทยคนแรกที่คบหากันมา 3 ปีกว่า ตอนนั้นดิฉันทำงาน 2 ที่พร้อมกับเรียนไปด้วยจนจบ วันที่เรียนจบจังหวะที่แฟนคนไทยจะมาญี่ปุ่น

ด้วยความที่เรารักแฟนมากไม่อยากห่างกันเลยขอตามมาด้วย แฟนคนไทยเค้ามีแม่และพี่ชายทำงานและอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่ก่อนนานแล้ว โดยทางพี่ชายของแฟนคนไทยบอกว่า มาเถอะๆ มีงานให้ทำเยอะแยะ เค้าบอกว่า ถ้าอยากมากับน้องชายเค้าด้วยก็ต้องหาเงินมาเอง ส่วนแฟนคนไทยของเราพี่ชายเค้าโอนเงินมาให้ซื้อตั๋วเครื่องบิน ส่วนเราก็มีเงินเก็บอยู่พอสมควรก็เลยตามมาด้วย โดยไม่รู้เลยว่ามาแล้วจะเจออะไร เพราะด้วยความที่เชื่อใจแฟนที่คบกันมา 

พอมาถึงสนามบินพี่ชายแฟนก็มารับไปอยู่อพาร์ทเม้นที่เค้าเช่าอยู่กับเมียคนไทย  ตอนที่เรามาถึงวันแรกก็โดนยืมเงินเกือบหมดบอกว่าเดี๋ยวคืน เราก็หันไปมองหน้าแฟน มันพยักหน้าประมาณว่า ให้เค้ายืมไปเถอะ เดี๋ยวเค้าก็คืนโน้นนี้นั้น จนวันที่วีซ่า 15 วัน เกือบหมดก็ยังไม่ได้คืนและจนวีซ่าขาดในที่สุด 

พอไม่มีเงินแฟนคนไทยก็นิสัยเปลี่ยนไปทันทีจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ที่จริงเราก็พอจะรู้ว่า การอยู่เกินวีซ่ามันผิดกฎหมายญี่ปุ่น เค้าเรียกพวกคนอยู่เกินวีซ่าว่า “ผีน้อย” แต่เราก็ปล่อยเลยตามเลย เพราะเงินไม่มีแล้วและบวกกับไม่รู้จักใครเลยในญี่ปุ่นนอกจากแฟนคนไทย 

พอเงินเราหมด งานก็ไม่มี ส่วนทางพี่ชายของแฟนก็ไม่ช่วยและเราก็มารู้ทีหลังว่า เมียแกก็เป็นผีน้อยเหมือนกัน ส่วนพี่ชายแฟนคนไทยมีวีซ่าตามแม่ ส่วนแฟนเคยมีวีซ่าตามแม่แต่ปล่อยขาดนานแล้ว แฟนคนไทยและพี่ชายทำงานเป็นช่างเชื่อมเหล็กที่โรงงานไม่ไกลจากอพาร์ทเมนต์มาก ส่วนเมียพี่ชายทำอะรุไบโตะ (งานพาร์ทไทม์) ในครัวแถวร้านใกล้ๆ อพาร์ทเมนต์ วันๆ เค้าก็ปล่อยเรานอนอยู่ที่ห้อง แรกๆ ก็มีข้าวมีน้ำให้กิน หนักๆ เข้าก็ไม่ซื้ออะไรเข้ามาไว้เลย เราก็ได้แต่กินน้ำก็อกเพื่อให้หายหิวจนกว่าถึงตอนเย็นที่เค้าเลิกงานกันกลับมาเป็นแบบนี้อยู่ 2 เดือน 

ในช่วงเวลา 2 เดือนนี้ เวลาที่แฟนคนไทยดื่มเหล้ากับพี่ชายจนเมาก็จะชอบไล่เราออกจากอพาร์ทเมนต์ ทั้งๆที่รู้ว่าเราไม่มีที่ไป ไม่รู้จักใคร ด่าด้วยคำหยาบ ทำเหมือนหมูเหมือนหมา จากแต่ก่อนไม่เคยเป็นเลยมีคำพูดคำๆ ที่จำได้จนถึงทุกวันนี้  “ถ้าเมิงไม่มีกุ เมิงอยู่ไม่ได้หรอก ญี่ปุ่น” จนเราอึ้งกับคำพูด เสียใจและร้องไห้หนักมาก ไม่เคยคิดว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นแบบนี้ จนเราคิดจะฆ่าตัวตาย

ตอนอยู่คนเดียวก็คิดโน่นนี่นั่น คิดถึงบ้านและรู้สึกผิดว่า ก่อนมาทำไมเรารั้นไม่เชื่อแม่และพี่สาว ทุกคนห้ามก็ไม่ฟัง ตอนคิดจะทำมีเสียงพี่สาวโทรไลน์เข้ามา “กลับเถอะ เดี๋ยวพี่โอนเงินค่าตั๋วไปให้ ”  เราก็ได้แต่พูดว่าอยากกลับแต่ไม่รู้จะกลับยังไง ไม่มีใครช่วย ตลอดที่เราอยู่อพาร์ทเมนต์เฉยๆ ไม่มีงานให้ทำแต่ก็ทำทุกอย่าง ทำความสะอาด ซักผ้า ล้างจานที่พวกเค้าพากันกินและแช่ไว้ 

จนมาวันหนึ่งป้าคนไทยข้างห้องแกสงสารบวกกับแกไม่ถูกกันกับเมียพี่ชายแฟน ตอนแรกแกก็ไม่อยากยุ่งด้วย แต่ด้วยความสงสารเรา แกเลยเรียกให้มากินข้าวที่ห้องแกทุกวัน เพราะแกจะต้องทำกับข้าวไปขายตามร้านอาหารไทย ตามร้านสแน็ค (ร้านนั่งดื่ม) เกือบทุกวัน เราเลยคุยกับแกว่าหางานให้หนูหน่อย งานอะไรก็ได้หนูทำได้หมด ยกเว้นขายตัว แกบอกไปกับแก เดี๋ยวแกหาถามงานให้  เราก็ไปหิ้วตะกร้าช่วยแกขายกับข้าวตามร้านอยู่ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ก็มีมาม่าร้านอาหารไทย แนะนำให้ไปสมัครทำสแน็คที่อยู่ไม่ไกลกัน 

เค้าบอกร้านนี้มันเปิดมา 30 ปี ชอบแอบรับพวกไม่มีวีซ่าทำงาน ป้าแกก็พาเราไปถาม พอมาสเตอร์ (เจ้าของร้านคนญี่ปุ่น) เห็นก็รับเข้าทำงาน โดยจะขับรถมารับ-ส่งที่อพาร์ทเมนต์ทุกวัน เดือนหนึ่งจะมีวันหยุดแค่อาทิตย์แรกของเดือนและอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน เงินเดือนจะออกทุก 7 วัน ทำงานตั้งแต่ 2 ทุ่ม-ตี 2  ได้ค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง 

วันแรกที่ไปทำงานแทบจะร้องไห้ แต่โชคดีหน่อยมีคนไทยทำอยู่เหมือนกัน (มารู้ภายหลังประมาณอาทิตย์ว่า ไม่มีวีซ่าเหมือนกัน) เวลาที่ไปนั่งโต๊ะกับลูกค้าเรารู้สึกไม่โอเคจนจะร้องไห้จนผู้หญิงฟิลิปปินส์ถามว่า “อยู่เมืองไทยไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อนใช่ไหม” เราก็ได้แต่ตอบว่า “ใช่ค่ะ” 

เรากับฟิลิปปินส์จะคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ เพราะเราไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นเลย เป็นแบบนี้เกือบอาทิตย์กว่าจะปรับตัวให้ยอมรับได้และด้วยแรงกดดันจากเจ้าของร้านที่มันบีบ ไม่งั้นไม่เอาเราทำงาน โดนกดดันให้ไปกินข้าวกับลูกค้าบ้าง (แต่เราก็ไม่เคยไปอาศัยคุยไลน์หรือโทรคุยกับลูกค้าอย่างเดียว) ต้องร้องเพลงญี่ปุ่นได้ ต้องหัดพูดภาษาญี่ปุ่นให้ได้ เวลานั่งกับลูกค้าก็ต้องคอยคุยและชงเหล้า เช็ดแก้ว เวลาลูกค้าเข้าห้องน้ำออกมาก็ต้องคอยยื่นผ้าเช็ดมือให้ ต้องจำชื่อลูกค้าให้ได้ จำว่าลูกค้าชอบดื่มเหล้าอะไร ชอบร้องเพลงอะไร ต้องจำรายละเอียดปลีกย่อยลูกค้าได้เพื่อที่ลูกค้าจะได้ประทับใจและกลับมาอีก ถ้าเราไม่มีลูกค้ามาชอบและมาหาเลยหรือเรียกลูกค้ามานั่งที่ร้านไม่ได้เราก็จะโดนว่าและกดดัน โดนด่าบ้าง ทุกอย่างที่มันจะสรรหาคำมาด่าจนเราประสาทเสียเลย เพราะมันรู้ว่าเราไม่มีวีซ่ายังไงก็ต้องง้อมันทำงานอยู่ดี ต้องกินเหล้าหนักทุกวันจากคนไม่เคยดื่มเหล้าเลย (ทุกวันนี้ให้ดื่มยันเช้าสบายมากค่ะ) 

มาถึงจุดที่ชีวิตจะเริ่มเปลี่ยน พอเราทำงานเข้าอาทิตย์ที่ 2 ก็ได้เจอสามีคนญี่ปุ่นที่แต่งงานด้วยตอนนี้ เค้ามาเที่ยวที่ร้านคนเดียว สามีเป็นคนไม่ชอบดื่มเหล้า แต่จะชอบร้องเพลงซึ่งที่ร้านจะมีเวทีและบริเวณร้านค่อนข้างกว้างมีโต๊ะโซฟา 12 โต๊ะเรียงยาวตามขนาดผืนผ้ามีทั้งหมด 2 ชั้น มีประตูลับออกหลังร้าน สามีมาร้านเราเคยไปนั่งด้วยครั้งเดียวแป๊บเดียว แต่สามีก็ได้ขอไลน์ไว้ หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ไปนั่งด้วยอีกเลย เวลาสามีมาที่ร้านก็จะชอบแอบมองเราอยู่เป็นประจำ (ต้องบอกก่อนนะคะ ร้านสแน็คที่นี้เจ้าของเป็นญี่ปุ่นจะมีกฎห้ามเด็ดขาดคือ ห้ามให้ลูกค้าล่วงหรือจับหน้าอก ห้ามออกไปกับลูกค้าหลังเลิกงานเด็ดขาด) แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรนอกจากเป็นลูกค้าที่ร้าน เพราะตอนนั้นก็ยังไม่ได้เลิกกับแฟนคนไทยยังอยู่ห้องเดียวกันแต่แยกออกมาเช่าอยู่กันเองจากห้องพี่ชายแฟนคนไทยแล้ว

อยากบอกทุกคนที่อาจจะผ่านมาอ่านที่คิดจะทำ 

อย่าเชื่อใจและไว้ใจใคร คิดดีๆ หาข้อมูลเยอะๆ

และที่สำคัญการมาแอบทำงานแบบผิดกฎหมายไม่ใช่เรื่องดีหรอกค่ะ ไม่ใช่สวรรค์ แต่เป็นนรกชัดๆ คุณต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ คิดถึงครอบครัวที่เมืองไทยอยากกลับก็กลับไม่ได้นอกจากโดนจับกลับหรือมอบตัวกลับเท่านั้น….มาติดตามเรื่องราวของ “ตุ๊กตามามิ” กันใหม่ใน Part 2 นะคะ

Leave a Reply

Your email address will not be published.